อาจารย์ คิมรันโด เล่าในหนังสือ เพราะเป็นวัยรุ่น จึงเจ็บปวด ว่า มีอยู่วันหนึ่งอาจารย์กำลังเดินเล่น แล้วบังเอิญเห็นคนกำลังตัดต้นไม้อยู่ โดยเขาออกแรงเลื่อยต้นไม้อย่างมุ่งมั่น จนเหงื่อออกท่วมตัว แต่ต้นไม้ก็ยังไม่ยอมล้มลงเสียที
.
ในขณะนั้นเองอาจารย์สังเกตเห็นว่า ใบเลื่อยของเขานั้นทื่อเกินไป เพราะฉะนั้นต่อให้จะพยายามเลื่อยมากแค่ไหน ลำต้นก็คงไม่ขาดออกจากกัน
.
อาจารย์คิม จึงตะโกนบอกเขาว่า มานั่งพักเช็ดเหงื่อสักหน่อยก่อนดีไหม ลับใบเลื่อยให้คม แล้วมาตัดใหม่มันน่าจะง่ายขึ้นนะ
.
แต่เขาก็ตะโกนตอบกลับมาโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองเลย ว่า “ผมไม่อยากเสียเวลา คุณรีบไปเถอะ วันนี้ผมต้องรีบตัดต้นไม้ให้เสร็จ ไม่มีเวลาหยุดพักหรอก อย่ารบกวนผมเลย ช่วยออกไปก่อนเถอะ” พร้อมกับก้มหน้าก้มตาออกแรงเลื่อยต้นไม้ต่อไป
.
อาจารย์คิมบอกว่า ถ้าเรามาลองคิดดูดีๆ จะเห็นว่ามีคนมากมายที่กำลังดำเนินชีวิตไม่ต่างจากคนตัดไม้คนนี้
.
คือ เอาแต่ขยันทำงานโดยไม่มีเป้าหมายที่แน่ชัดว่า ตัวเอง “จะทำงานนี้ทำไม” หรือ เอาแต่เรียนหนัก ไปฝึกงานหลายแห่ง เข้าคอร์สเรียนมากมาย จนไม่มีเวลา แล้วก็มาบ่นว่ายุ่ง
.
เพราะเห็นเพื่อนๆ ทำกัน ก็เลยอยากทำตามบ้าง หรือ พอพ่อแม่สั่งให้ทำก็คิดว่ามันคือสิ่งที่ดี โดยไม่เคยถามตัวเองว่า “จริงๆ แล้วเราต้องการอะไร” แล้วค่อยมาลองหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองจริงๆ ทีหลัง
.
อับราฮัม ลินคอล์น เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณใช้เวลา 8 ชั่วโมงในการตัดต้นไม้ เวลา 6 ชั่วโมงจะหมดไปกับการลับขวาน”
.
ดังนั้น ก่อนจะเริ่มทำงานอะไร อย่าเอาแต่ขยันจนไม่สนใจสิ่งใด แต่ให้ลองถามตัวเองก่อนว่า เป้าหมายที่แน่ชัดของเราคืออะไร จะทำงานนี้ไปทำไม ?
.
เพราะไม่อย่างนั้นคุณอาจต้องเสียเวลาและความตั้งใจไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ต่างคนที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาออกแรงเลื่อยต้นไม้อย่างสุดกำลัง โดยไม่รู้เลยว่าเลื่อยของตัวเองมันทื่อเกินไป
.
เพราะถ้าไม่มีเป้าหมาย มันก็ไม่มีความหมาย ถ้าวิธีทำไม่ถูก มันก็ไร้ค่า และถ้าไม่ลงมือทำจริงสักทีก็ไม่มีทางสำเร็จ
.
“เป้าหมาย วิธีทำ และการลงมือทำ” ทั้ง 3 สิ่งนี้ คือสิ่งที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้ ถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป ชีวิตก็อาจจะล้มเหลวเหมือนขาตั้งกล้องที่ขาดขาข้างหนึ่งไป
.
บางครั้งก็ลองหยุดเดิน แล้วย้อนมองตัวเองบ้าง ใช้เวลาคิดทบทวนอยู่กับตัวเองสักพัก ลองถามตัวเองว่า แท้จริงแล้ว ชีวิตเราต้องการอะไรกันแน่ ?